หน้า ๑๕๙
เล่ม ๑๒๒ ตอนที่ ๔๖ ง ราชกิจจานุเบกษา ๙ มิถุนายน ๒๕๔๘
ประกาศคณะกรรมการสภาวิชาชีพบัญชี
ฉบับที่ ๑๐/๒๕๔๘
เรื่อง ประกาศใช้มาตรฐานการบัญชี
ฉบับที่ ๕๒-๕๔
ในการประชุมคณะกรรมการกำกับดูแลการประกอบวิชาชีพบัญชี ครั้งที่ ๑ (๑/๒๕๔๗) เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ คณะกรรมการได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้ประกาศใช้มาตรฐานการบัญชี จำนวน ๓ ฉบับ ซึ่งคณะกรรมการมาตรฐานการบัญชีประจำปี ๒๕๔๖-๒๕๔๘ ได้จัดทำขึ้นโดยผ่านกระบวนการตามขั้นตอนการจัดทำมาตรฐานการบัญชีไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนี้
มาตรฐานการบัญชี ๓ ฉบับ ได้แก่
๑. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๕๒ เรื่อง เหตุการณ์ภายหลังวันที่ในงบดุล
๒. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๕๓ เรื่อง ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
๓. มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ ๕๔ เรื่อง การดำเนินงานที่ยกเลิก
สภาวิชาชีพบัญชีจึงเห็นสมควรเผยแพร่และประกาศใช้มาตรฐานการบัญชีดังกล่าวข้างต้นเพื่อให้นักบัญชี ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบและใช้ประโยชน์สำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติทางการบัญชีต่อไป
ประกาศ ณ วันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๘
เกษรี ณรงค์เดช
นายกสภาวิชาชีพบัญชี
มาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 53
เรื่อง
ประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
(ใช้แทนมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 21)
ขอบเขต
1. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับกิจการทุกกิจการในการบันทึกบัญชีเกี่ยวกับประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น และสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น ยกเว้นรายการต่อไปนี้
1.1 รายการที่เป็นผลจากเครื่องมือทางการเงินที่แสดงด้วยมูลค่ายุติธรรม
1.2 รายการที่เป็นผลจากสัญญาที่ยังไม่ได้ปฏิบัติ ซึ่งไม่ใช่สัญญาที่สร้างภาระแก่กิจการ
1.3 รายการที่เกิดจากสัญญาที่กิจการประกันภัยทำกับผู้ถือกรมธรรม์
1.4 รายการที่ได้กำหนดไว้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับอื่น
คำนิยาม
2. คำศัพท์ที่ใช้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มีความหมายโดยเฉพาะ ดังนี้
ประมาณการหนี้สิน หมายถึง หนี้สินที่มีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจังหวะเวลาหรือ จำนวนที่ต้องจ่ายชำระ
หนี้สิน หมายถึง ภาระผูกพันในปัจจุบันของกิจการ ภาระผูกพันดังกล่าวเป็นผลของเหตุการณ์ในอดีตซึ่งการชำระภาระผูกพันนั้นคาดว่าจะส่งผล
ให้กิจการต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิง เศรษฐกิจ
เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภาระ หมายถึง เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภาระผูกพันตามกฎหมายหรือภาระผูกผันจากการอนุมาน ซึ่งเป็นผลให้กิจการต้องจ่ายชำระภาระผูกพันนั้นโดยไม่มีทางหลีกเลี่ยง
ภาระผูกพันตามกฎหมาย หมายถึง ภาระผูกพันที่เกิดจากรายการใดรายการหนึ่งต่อไปนี้
ก) สัญญา(ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้อย่างชัดแจ้งหรือโดยนัย)
ข) กฎหมายที่ใช้บังคับ
ค) ผลบังคับตามกฎหมายอื่น
ภาระผูกพันจากการอนุมาน หมายถึง ภาระผูกพันที่เกิดจากการกระทำของกิจการที่ทำให้กิจการ
จำต้องปฏิบัติตามภาระผูกพันนั้น ภาระผูกพันดังกล่าวถือว่าได้เกิดขึ้นหากเป็นไปตามข้อกำหนดทุกข้อต่อไปนี้
ก) กิจการชี้แนะให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่ากิจการจะยอมรับผิดชอบบางประการ โดยการปฏิบัติในอดีตจนถือเป็นแบบแผนหรือโดยนโยบายที่ประกาศใช้หรือโดยคำแถลงการณ์ในปัจจุบันที่มีความเฉพาะเจาะจงอย่างเพียงพอ และ
ข) การกระทำตามข้อ ก) ของกิจการสร้างความคาดหมายอย่างมีมูลความจริงให้กับอีกฝ่ายหนึ่งว่ากิจการจะรับผิดชอบต่อภาระผูกพันที่เกิดขึ้น
หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น หมายถึง รายการข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
ก) ภาระผูกพันที่อาจมีอยู่อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีตแต่การจะทราบว่าภาระผูกพันดังกล่าวมีอยู่หรือไม่นั้นต้องได้รับการยืนยันจากเหตุการณ์อย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต (เหตุการณ์ในอนาคต) ซึ่งเหตุการณ์ในอนาคตดังกล่าวต้องเป็นเหตุการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนในขณะนั้นและต้องไม่อยู่ในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ
ข) ภาระผูกพันในปัจจุบันซึ่งเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ในอดีต แต่ไม่สามารถรับรู้เป็นหนี้สินได้เนื่องจากเป็นไปตามข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้
(1) ความน่าจะเป็นที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มี
ประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพื่อจ่ายชำระภาระผูกพันอยู่
ในระดับไม่ถึงความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่หรือ
(2) กิจการไม่สามารถวัดมูลค่าภาระผูกพันได้อย่างน่าเชื่อถือเพียงพอ
สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น หมายถึง สินทรัพย์ที่อาจมีอยู่อันเนื่องมาจากเหตุการณ์ในอดีตแต่
การจะทราบว่าสินทรัพย์ดังกล่าวมีอยู่หรือไม่นั้นต้องได้รับการยืนยันจากเหตุการณ์อย่างน้อยหนึ่งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในอนาคต (เหตุการณ์ในอนาคต) ซึ่งเหตุการณ์ในอนาคตดังกล่าวต้องเป็นเหตุการณ์ที่ยังมีความไม่แน่นอนในขณะนั้นและต้องไม่อยู่ในความควบคุมทั้งหมดของกิจการ
สัญญาที่สร้างภาระ หมายถึง สัญญาที่ก่อให้เกิดต้นทุนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้จากการปฏิบัติตามภาระผูกพันที่ระบุไว้ซึ่งต้นทุนดังกล่าวมีจำนวนสูงกว่าประโยชน์เชิงเศรษฐกิจที่คาดว่าจะได้รับจากสัญญานั้น
การปรับโครงสร้าง หมายถึง แผนงานที่อยู่ภายใต้การวางแผนและควบคุมของฝ่ายบริหาร
กิจการซึ่งทำให้รายการใดรายการหนึ่งต่อไปนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ
ก) ขอบเขตของธุรกิจที่ดำเนินอยู่ หรือ
ข) ลักษณะของธุรกิจที่ดำเนินอยู่
การรับรู้รายการ
ประมาณการหนี้สิน
3. กิจการจะรับรู้ประมาณการหนี้สินเป็นหนี้สินในงบดุลได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
3.1 กิจการมีภาระผูกพันในปัจจุบันซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ในอดีต ไม่ว่าภาระผูกพันนั้นจะเป็นภาระผูกพันตามกฎหมายหรือภาระผูกพันจากการอนุมาน
3.2 มีความเป็นไปได้ค่อนข้างแน่ที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจต่อกิจการเพื่อจ่ายชำระภาระผูกพันดังกล่าว และ
3.3 สามารถประมาณมูลค่าภาระผูกพันได้อย่างน่าเชื่อถือ
ภาระผูกพันในปัจจุบัน
4. ในกรณีที่ยากยิ่งที่จะเกิด เมื่อมีความไม่ชัดเจนว่ากิจการมีภาระผูกพันในปัจจุบัน ณ วันที่ในงบดุลหรือไม่ให้กิจการพิจารณาจากหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่ หากหลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นน่าจะมีผลทำให้ภาระผูกพันได้เกิดขึ้นภายในวันที่ในงบดุล กิจการต้องถือว่ากิจการมีภาระผูกพันในปัจจุบัน ณ วันที่ในงบดุล
5. ประมาณการหนี้สินที่กิจการรับรู้ในงบดุลต้องเป็นภาระผูกพันที่เกิดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและไม่ขึ้นกับการกระทำในอนาคตของกิจการ ตัวอย่างของภาระผูกพันดังกล่าวคือ การที่กิจการต้องจ่ายค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายในการกำจัดมลพิษเนื่องจากกระทำผิดกฎหมายสิ่งแวดล้อม การจ่ายค่าปรับหรือค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะทำให้กิจการต้องสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพื่อชำระภาระผูกพันที่เกิดขึ้นไม่ว่าการกระทำในอนาคตของกิจการจะเป็นเช่นไร ในทำนองเดียวกัน กิจการต้องรับรู้ประมาณการหนี้สินสำหรับต้นทุนในการรื้อถอนแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือโรงงานไฟฟ้าปรมาณูเท่ากับจำนวนที่กิจการต้องรับผิดชอบเพื่อแก้ไขความเสียหายที่ได้เกิดขึ้น ในทางกลับกัน กิจการต้องไม่รับรู้ประมาณการหนี้สินสำหรับรายจ่ายที่กิจการตั้งใจหรือจำเป็นต้องก่อให้เกิดขึ้นเพื่อให้การดำเนินงานในอนาคตเป็นไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เนื่องจากแรงกดดันทางธุรกิจหรือข้อกำหนดตามกฎหมาย เช่น การติดตั้งเครื่องกรองควันสำหรับโรงงานบางประเภท ในกรณีนี้ กิจการต้องไม่รับรู้ประมาณการหนี้สินเนื่องจากภาระผูกพันในปัจจุบันสำหรับรายจ่ายในอนาคตถือว่ายังไม่เกิดขึ้น เพราะกิจการสามารถหลีกเลี่ยงรายจ่ายที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการกระทำในอนาคตของกิจการเอง เช่น การเปลี่ยนวิธีปฏิบัติงาน
หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
6. กิจการต้องไม่รับรู้หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น
สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
7. กิจการต้องไม่รับรู้สินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น
การวัดมูลค่า
ประมาณการที่ดีที่สุด
8. กิจการต้องรับรู้ประมาณการหนี้สินด้วยจำนวนประมาณการที่ดีที่สุดของรายจ่ายที่ต้องนำไปจ่ายชำระภาระผูกพันในปัจจุบัน ณ วันที่ในงบดุล
ความเสี่ยงและความไม่แน่นอน
9. ในการวัดมูลค่าประมาณการหนี้สิน กิจการต้องพิจารณาถึงความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อันเกิดจากเหตุการณ์และสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งจำนวนประมาณการที่ดีที่สุด
มูลค่าปัจจุบัน
10. กิจการต้องกำหนดจำนวนประมาณการหนี้สินโดยใช้มูลค่าปัจจุบันของรายจ่ายที่คาดว่าจะต้องนำมาจ่ายชำระภาระผูกพัน หากมูลค่าของเงินตามเวลามีผลกระทบต่อจำนวนประมาณการหนี้สินนั้นอย่างมีนัยสำคัญ
11. อัตราคิดลดต้องเป็นอัตราก่อนหักภาษี อัตราคิดลดต้องสะท้อนถึงการประเมินสถานการณ์ตลาดในปัจจุบันของมูลค่าของเงินตามเวลาและความเสี่ยง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของหนี้สินที่กำลังพิจารณาอยู่ แต่ต้องไม่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ได้ปรับกับประมาณการกระแสเงินสดในอนาคตไว้แล้ว
เหตุการณ์ในอนาคต
12. ประมาณการหนี้สินต้องสะท้อนถึงเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งอาจมีผลกระทบต่อจำนวนที่กิจการต้องนำมาจ่ายชำระภาระผูกพัน หากมีหลักฐานที่เที่ยงธรรมและเพียงพอที่ทำให้เชื่อถือได้ว่าเหตุการณ์ในอนาคตนั้นจะเกิดขึ้น
การจำหน่ายที่คาดว่าจะเกิดขึ้น
13. กิจการต้องไม่นำผลกำไรจากการจำหน่ายสินทรัพย์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมารวมพิจารณาในการวัดมูลค่าประมาณการหนี้สิน
รายจ่ายที่จะได้รับคืน
14. หากกิจการคาดว่าจะได้รับรายจ่ายทั้งหมดหรือบางส่วนคืนจากบุคคลที่สามตามจำนวนที่กิจการจ่ายไปเพื่อชำระประมาณการหนี้สิน กิจการจะรับรู้รายจ่ายที่จะได้รับคืนเป็นสินทรัพย์ได้ก็ต่อเมื่อกิจการคาดว่าหลังจากที่จ่ายชำระภาระผูกพันแล้วกิจการน่าจะได้รับรายจ่ายนั้นคืนอย่างแน่นอน กิจการต้องรับรู้รายจ่ายที่จะได้รับคืนเป็นสินทรัพย์แยกต่างหากแต่ต้องไม่เกินจำนวนประมาณการหนี้สินที่เกี่ยวข้อง
15. กิจการอาจแสดงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับประมาณการหนี้สินในงบกำไรขาดทุนโดยแสดงสุทธิจากจำนวนรายจ่ายที่จะได้รับคืนที่รับรู้ไว้
การเปลี่ยนแปลงประมาณการหนี้สิน
16. กิจการต้องทบทวนประมาณการหนี้สิน ณ วันที่ในงบดุลและปรับปรุงประมาณการหนี้สินดังกล่าวให้เป็นการประมาณการที่ดีที่สุดสำหรับวันนั้น กิจการต้องกลับบัญชีประมาณการหนี้สินหากความน่าจะเป็นที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรที่มีประโยชน์เชิงเศรษฐกิจเพื่อจ่ายชำระภาระผูกพันไม่อยู่ในระดับเป็นไปได้ค่อนข้างแน่อีกต่อไป
การนำประมาณการหนี้สินมาใช้
17. กิจการจะนำประมาณการหนี้สินมาใช้ได้เฉพาะกับรายจ่ายที่กิจการรับรู้เป็นประมาณการหนี้สินไว้แต่เดิม
การนำข้อกำหนดเกี่ยวกับการรับรู้และการวัดมูลค่ามาปฏิบัติ
ขาดทุนจากการดำเนินงานในอนาคต
18. กิจการต้องไม่รับรู้ประมาณการหนี้สินสำหรับขาดทุนจากการดำเนินงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สัญญาที่สร้างภาระ
19. กิจการต้องรับรู้ภาระผูกพันในปัจจุบันซึ่งเกิดจากสัญญาที่สร้างภาระเป็นประมาณการหนี้สินและวัดมูลค่าภาระผูกพันดังกล่าวในลักษณะเดียวกับการวัดมูลค่าประมาณการหนี้สิน
การปรับโครงสร้าง
20. การปรับโครงสร้างจะก่อให้เกิดภาระผูกพันจากการอนุมานได้ก็ต่อเมื่อกิจการได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดทุกข้อต่อไปนี้
20.1 กิจการมีแผนการปรับโครงสร้างที่เป็นทางการอย่างละเอียด ซึ่งระบุถึงรายการต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย
20.1.1 ธุรกิจหรือส่วนของธุรกิจที่เกี่ยวข้อง
20.1.2 สถานประกอบการหลักที่จะได้รับผลกระทบ
20.1.3 สถานประกอบการ หน้าที่งาน และจำนวนพนักงานโดยประมาณที่จะได้รับค่าตอบแทนจากการเลิกจ้าง
20.1.4 รายจ่ายที่กิจการจะต้องรับภาระ
20.1.5 กำหนดการปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสร้าง
20.2 กิจการทำให้ผู้ถูกกระทบจากแผนการปรับโครงสร้างเกิดความคาดหมายอย่างมีมูลความจริงว่ากิจการจะดำเนินการปรับโครงสร้างโดยเริ่มปฏิบัติตามแผนการปรับโครงสร้างหรือโดยการประกาศลักษณะหลักของแผนนั้นให้ผู้ถูกกระทบทราบ
21. เมื่อกิจการขายการดำเนินงานบางส่วน ภาระผูกพันจะไม่ถือว่าเกิดขึ้นจนกระทั่งกิจการได้ผูกมัดที่จะขายการดำเนินงานนั้น เช่น ทำสัญญาขายที่มีผลบังคับตามกฎหมาย
22. กิจการจะนำรายจ่ายไปรวมเป็นประมาณการหนี้สินจากการปรับโครงสร้างได้ก็ต่อเมื่อรายจ่ายนั้นเป็นรายจ่ายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างและเป็นไปตามเงื่อนไขทุกข้อต่อไปนี้
22.1 จำเป็นต้องเกิดในการปรับโครงสร้างนั้น
22.2 ไม่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่มีอยู่อย่างต่อเนื่องของกิจการ
การเปิดเผยข้อมูล
23. กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้สำหรับประมาณการหนี้สินแต่ละประเภท
23.1 จำนวนประมาณการหนี้สิน ณ วันต้นงวดและวันสิ้นงวด
23.2 จำนวนประมาณการหนี้สินที่รับรู้ในระหว่างงวด ซึ่งรวมถึงจำนวนที่เพิ่มขึ้นของประมาณการหนี้สินที่มีอยู่
23.3 จำนวนที่ตัดออกจากบัญชีประมาณการหนี้สินในระหว่างงวด เช่น รายจ่ายที่เกิดขึ้นและนำไปลดประมาณการหนี้สิน
23.4 จำนวนประมาณการหนี้สินที่ต้องกลับบัญชีในระหว่างงวดเนื่องจากบันทึกไว้สูงเกินไป
23.5 จำนวนคิดลดที่เพิ่มขึ้นในระหว่างงวดของประมาณการหนี้สินเนื่องจากเวลาที่ผ่านไปและจากผลของอัตราคิดลดที่เปลี่ยนแปลงกิจการไม่จำเป็นต้องแสดงข้อมูลเปรียบเทียบ
24. กิจการต้องเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้สำหรับประมาณการหนี้สินแต่ละประเภท
24.1 คำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของภาระผูกพันและจังหวะเวลาที่กิจการคาดว่าจะสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ
24.2 ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนหรือจังหวะเวลาของการสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ กิจการต้องเปิดเผยข้อสมมุติสำคัญเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต (ดูย่อหน้าที่ 48) เมื่อกิจการจำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลให้เพียงพอ
24.3 จำนวนรายจ่ายที่คาดว่าจะได้รับคืน โดยระบุจำนวนสินทรัพย์ที่กิจการรับรู้สำหรับรายจ่ายที่คาดว่าจะได้รับคืนนั้น
25. กิจการต้องให้คำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของหนี้สินที่อาจเกิดขึ้นแต่ละประเภท ณ วันที่ในงบดุลและเปิดเผยข้อมูลต่อไปนี้หากทำได้ในทางปฏิบัติ เว้นแต่เมื่อความน่าจะเป็นที่กิจการจะสูญเสียทรัพยากรเพื่อจ่ายชำระหนี้สินนั้นอยู่ในระดับไม่น่าเป็นไปได้
25.1 ประมาณการผลกระทบทางการเงิน ซึ่งวัดมูลค่าตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 36 ถึง 52
25.2 ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับจำนวนหรือจังหวะเวลาของการสูญเสียประโยชน์เชิงเศรษฐกิจ
25.3 ความน่าจะเป็นที่จะได้รับรายจ่ายคืน
26. เมื่อกิจการน่าจะได้รับประโยชน์เชิงเศรษฐกิจมากกว่าจะไม่ได้รับ กิจการต้องให้คำอธิบายโดยสังเขปเกี่ยวกับลักษณะของสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น ณ วันที่ในงบดุล กิจการต้องเปิดเผยประมาณการผลกระทบทางการเงินซึ่งวัดมูลค่าตามข้อกำหนดที่ระบุไว้ในย่อหน้าที่ 36 ถึง 52 หากสามารถทำได้ในทางปฏิบัติ
27. หากกิจการไม่เปิดเผยข้อมูลตามที่กำหนดไว้ในย่อหน้าที่ 86 และ 89 เนื่องจากไม่สามารถทำได้ในทางปฏิบัติกิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว
28. ในกรณีที่ยากยิ่งที่จะเกิดที่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดหรือบางส่วนตามที่กำหนดไว้ในย่อหน้าที่ 84 ถึง 89 จะทำให้สถานะของกิจการเกี่ยวกับข้อพิพาทกับอีกฝ่ายหนึ่งในเรื่องเกี่ยวกับประมาณการหนี้สิน หนี้สินที่อาจเกิดขึ้น หรือสินทรัพย์ที่อาจเกิดขึ้น เกิดความโอนเอียงอย่างรุนแรง ในกรณีนี้ กิจการไม่จำเป็นต้องเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวแต่ต้องเปิดเผยถึงลักษณะทั่วไปของข้อพิพาทพร้อมกับข้อเท็จจริงและเหตุผลของการไม่เปิดเผยข้อมูลนั้น
การปฏิบัติในช่วงเปลี่ยนแปลง
29. กิจการต้องรับรู้ผลกระทบจากการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ ณ วันถือปฏิบัติ (หรือก่อนวันถือปฏิบัติ) โดยการปรับปรุงกับกำไรสะสมต้นงวดของงวดแรกที่กิจการได้นำมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้มาถือ
ปฏิบัติมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้สนับสนุนแต่ไม่ได้กำหนดให้กิจการต้องปรับปรุงกำไรสะสมต้นงวดของงวดก่อนที่นำเสนอหรือปรับย้อนหลังข้อมูลเปรียบเทียบ หากกิจการไม่ได้ปรับย้อนหลังข้อมูลเปรียบเทียบกิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าว
วันถือปฏิบัติ
30. มาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ให้ถือปฏิบัติกับงบการเงินสำหรับรอบระยะเวลาบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2548 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม กิจการสามารถปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ก่อนวันถือปฏิบัติหากกิจการต้องการปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้ก่อนวันถือปฏิบัติ กิจการต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงดังกล่าวและต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดทุกข้อที่ระบุไว้ในมาตรฐานการบัญชีฉบับนี้โดยไม่มีการยกเว้น