คลังสินค้าทัณฑ์บน (BONDED WAREHOUSE ) คืออะไร?
- เป็นการเก็บสินค้าสำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูป หรือวัตถุดิบ ที่นำเข้า มาในประเทศ ได้โดยเสรี โดยไม่ต้อง ชำระค่า ภาษีอากร ก่อน หรือมีหนังสือ ค้ำประกัน ของธนาคาร
- สินค้าทัณฑ์บน สามารถเก็บ ไว้นาน ถึงหนึ่งปี นับจากวัน ที่เรือเข้า ถ้าเก็บไว้ นานกว่านั้น ผู้นำเข้า ต้องขอ ผ่อนผัน จากกรมศุลกากร ส่งออก สินค้าทัณฑ์บน ออกจาก ประเทศไทย หรือจ่าย ค่าอากร ขาเข้า และภาษี ที่เกี่ยวข้อง ถ้าผู้นำเข้า ไม่ปฏิบัติตาม จะทำให้ บริษัท พริวิเลจ โกดาวน์ จำกัด มีสิทธิ ในการสงวนสิทธิ ที่จะกระทำ สิ่งใด ๆ กับสินค้า เพื่อเป็นการ ชดเชย ภาระ ผูกพัน ของผู้นำเข้า ที่มีต่อ กรมศุลกากร
- ระยะเวลา ที่ผ่อนผัน ให้ปลอดภาษี จะเท่ากับหนึ่งปี แต่อย่างไรก็ตาม อาจมี การต่อเวลา ออกไป โดยการยื่น คำร้อง ต่อกรมศุลกากร เป็นกรณี ๆ ไป ได้เป็นระยะเวลา 6 เดือน
ข้อได้เปรียบจากการใช้บริการคลังสินค้าทัณฑ์บนทั่วไป
1. ลดต้นทุนการผลิตหรือลดต้นทุนสินค้าที่นำเข้า ผู้สั่งซื้อสินค้า หรือวัตถุดิบ จากต่างประเทศ ในจำนวนมาก ๆ ย่อมได้เปรียบ ผู้สั่งซื้อ ครั้งละ เล็กละน้อย ทั้งนี้ เพราะราคาเฉลี่ย ต่อหน่วย ของสินค้า LOT ใหญ่ ย่อมถูกกว่า แต่ผู้นำเข้า LOT ใหญ่ จะต้องจ่ายเงิน จำนวนมาก เพื่อชำระ ค่าภาษีอากร เพื่อที่จะ รับของออก ไปจากอารักขา ของศุลกากร การนำของ ไปฝากไว้ กับคลังสินค้า BONDED WAREHOUSE จะช่วย แก้ปัญหา เรื่องการจ่ายเงิน จำนวนมาก เพื่อชำระ ค่าภาษีอากร ได้ กล่าวคือ รับซื้อของใหญ่ เมื่อเรือเข้า ถึงท่ากรุงเทพฯ และท่าอื่น ๆ ก็สามารถ นำของออก จากท่าเรือ ไปเก็บใน คลังสินค้า BONDED WAREHOUSE ได้ทันที โดยที่ ยังไม่ต้อง ชำระค่า ภาษีอากร แล้วค่อยแบ่ง ชำระ ภาษีอากร ครั้งละน้อย ๆ ตามความ เหมาะสม ในการผลิต หรือการตลาด เป็นการซื้อมาถูก ๆ แล้วยังมี สิทธิ์ผ่อนชำระ ค่าภาษีอีกด้วย
2. ให้โอกาส ในการหา ลูกค้าได้นาน ๆ การนำของเข้า ตามปกติ นอกจากจะต้อง ชำระค่า ภาษีอากร ให้ครบถ้วน ก่อนนำออก ไปจาก อารักขา ของศุลกากร แล้ว ยังมีข้อจำกัด เรื่องระยะเวลา เพราะกฎหมาย ของศุลกากร กำหนดให้ เก็บของไว้ ในโกดัง ของการท่าเรือ ได้ไม่เกิน 2 เดือน กับ 15 วัน หากไม่ชำระ ค่าภาษี นำของออกไป กรมศุลกากร อาจนำของ ออกขาย ทอดตลาดได้ แต่การนำ ของไปฝาก ไว้กับคลัง สินค้า BONDED WAREHOUSE ของบริษัทฯ นอกจาก ไม่ต้อง ชำระค่า ภาษีอากร ทันทีแล้ว ยังให้โอกาส ในการ หาลูกค้า ทั้งใน และนอก ประเทศ ได้นานถึง 12 เดือน หากจำเป็น มากกว่านั้น ประโยชน์ที่ได้รับคือ ติดต่อ หาลูกค้า ได้แล้ว จึงค่อย มาชำระ ค่าภาษีอากร ภายหลัง และยังให้ เวลา ในการติดต่อ ลูกค้า นานถึง 1 ปีเต็ม ๆ
3. ให้โอกาสในการ STOCK ของ LOT ใหญ่ไว้จำหน่ายต่างประเทศ สินค้าที่นำเข้า ตามปกติ จะต้องชำระ ค่าภาษีอากร เมื่อส่งไป จำหน่ายใน ต่างประเทศ ก็ขอคืนอากร 9/10 ของค่าภาษี ที่ได้ชำระ ไว้เป็นการ นำเงิน จำนวนมาก ไปชำระ ค่าภาษีอากร แล้วทะยอย ส่งออก ไปต่างประเทศ ครั้งละเล็ก ครั้งละน้อย เป็นการเก็บ เบี้ยหัวแตก การนำของ เข้าเก็บ ในคลังสินค้า BONDED WAREHOUSE แก้ปัญหา นี้ได้ กล่าวคือ นำสินค้า LOT ใหญ่ มาเก็บไว้ แล้วค่อย ทะยอย ส่งออก ไปต่างประเทศ ได้นานถึง 1 ปี โดยไม่ต้อง เสียค่า ภาษีอากร เลยแม้แต่ บาทเดียว ( กรณีนำเข้า เพื่อส่งออก จะได้รับ การยกเว้น ภาษีอากร )
4. ขายให้ผู้มีสิทธิ์ได้รับยกเว้นอากรโดยไม่ต้องชำระค่าภาษีอากรทั้ง 2 ฝ่าย ของที่ฝากไว้ในคลังสินค้า BONDED WAREHOUSE หากขายให้ แก่ผู้ที่มีสิทธิ์ ยกเว้น อากร เช่น สถานฑูต สหประชาชาติ ผู้ที่ได้รับ ยกเว้น อากรตาม BOI คลังสินค้า BONDED WAREHOUSE ประโรง ผลิตสินค้าหรือ นิคม อุตสาหกรรม ส่งออก จะขายให้ ในราคา ที่ไม่รวม ค่าภาษีอากร ได้เลย โดยการโอนสิทธิ์ สินค้านั้น ให้กับผู้ซื้อ
ตัวอย่าง ข้อหารือของกรมสรรพากร ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีขายสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน
เลขที่หนังสือ |
: กค 0706/พ./9630 |
วันที่ |
: 20 พฤศจิกายน 2549 |
เรื่อง |
: ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการขายสินค้าให้แก่ผู้ประกอบการในประเทศไทย |
ข้อกฎหมาย |
: มาตรา 77/1 มาตรา 78 มาตรา 80 มาตรา 86 มาตรา 86/4 มาตรา 82 มาตรา 83/8 และมาตรา 83/9 แห่งประมวลรัษฎากร |
ข้อหารือ |
: บริษัท L เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม บริษัทฯ ได้นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาจำหน่ายในประเทศไทย และสั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในประเทศไทยมาจำหน่ายในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ได้ส่งสินค้าไปเก็บไว้ที่คลังเก็บสินค้าของบริษัท T ซึ่งเป็นผู้ประกอบการให้บริการเก็บและจัดส่งสินค้าซึ่งตั้งอยู่ในเขตปลอดอากรอีสเทิ์รนซีบอร์ด จังหวัดระยอง บริษัทฯ จึงขอทราบว่า 1. กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศไทย ส่งสินค้าเข้าไปเก็บในเขตปลอดอากร ผู้ประกอบการในประเทศไทย ดังกล่าวจะได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 หรือไม่ 2. กรณีบริษัทฯ ได้ขายสินค้าที่เก็บรักษาไว้ในเขตปลอดอากรให้กับลูกค้า บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีขายและเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่ อย่างไร 2.1 กรณีบริษัทฯ ส่งมอบสินค้าที่อยู่ในเขตปลอดอากร ให้แก่ลูกค้าและลูกค้าดังกล่าวนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยทำพิธีการศุลกากรเอง 2.2 กรณีบริษัทฯ นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยทำพิธีการศุลกากรในนามของบริษัทฯ และนำไปพักไว้ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า โดยลูกค้าดังกล่าวจะนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนตามจำนวนที่ต้องการ 2.3 กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศ โดยจ้างบริษัทรับขนส่งพัสดุภัณฑ์ทางอากาศ เช่น DHL หรือ FED EX ให้ดำเนินพิธีการศุลกากรและส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยตรง |
แนววินิจฉัย |
: 1. กรณีบริษัทฯ ได้สั่งซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในประเทศไทย โดยให้ผู้ประกอบการในประเทศไทยดังกล่าว ส่งสินค้าเข้าไปเก็บไว้ที่คลังเก็บสินค้าของบริษัท T ซึ่งอยู่ในเขตปลอดอากร ตามข้อเท็จจริงข้างต้น เข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น ผู้ประกอบการในประเทศไทยจึงมีหน้าที่ต้องจัดทำใบกำกับภาษีตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร และส่งมอบให้แก่บริษัทฯ เมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78 มาตรา 80 และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร และเมื่อผู้ประกอบการในประเทศไทยส่งสินค้าเข้าไปในเขตปลอดอากร โดยทำพิธีการศุลกากรนำเข้าสินค้า แม้ใบขนสินค้าขาเข้าจะเป็นชื่อของผู้ประกอบการในประเทศไทย แต่ผู้ที่ได้รับสิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0 ได้แก่ บริษัทฯ เนื่องจากถือว่า บริษัทฯ เป็นผู้นำสินค้าเข้าไปในเขตปลอดอากรและผู้ประกอบการในประเทศไทยขายสินค้าดังกล่าวในราชอาณาจักร 2. กรณีบริษัทฯ ได้ขายสินค้าที่เก็บรักษาไว้ในคลังสินค้าในเขตปลอดอากรให้แก่ลูกค้า ซึ่งอยู่นอกเขตปลอดอากร กรณีดังต่อไปนี้ 2.1 กรณีบริษัทฯ ขายสินค้าให้แก่ลูกค้า โดยบริษัทฯ ได้โอนสิทธิในสินค้าที่เก็บไว้ที่คลังเก็บสินค้าของบริษัท T ซึ่งอยู่ในเขตปลอดอากร ให้แก่ลูกค้า โดยลูกค้าดังกล่าวเป็นผู้นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยทำพิธีการศุลกากรเอง กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78(1) และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร และหากลูกค้าดังกล่าวเป็นผู้นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยทำพิธีการศุลกากรเอง ลูกค้าในฐานะผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 77/1(11) มาตรา 82 และมาตรา 83/8 แห่งประมวลรัษฎากร 2.2 กรณีบริษัทฯ ขายสินค้าให้แก่ลูกค้า ซึ่งอยู่นอกเขตปลอดอากร โดยบริษัทฯ นำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรโดยทำพิธีการศุลกากรในนามของบริษัทฯ และนำไปพักไว้ที่คลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อส่งมอบให้แก่ลูกค้า โดยลูกค้าดังกล่าวจะนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนตามจำนวนที่ต้องการ กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการขายสินค้าในราชอาณาจักรซึ่งอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78(1) และมาตรา 80 แห่งประมวลรัษฎากร และหากบริษัทฯ กระทำพิธีการนำสินค้าออกจากเขตปลอดอากรและนำสินค้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร บริษัทฯ ผู้นำสินค้าเข้าไปในคลังสินค้าทัณฑ์บนจะวางเงินประกัน หลักประกัน หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันเพื่อเป็นประกันภาษีมูลค่าเพิ่มแทนการชำระภาษีก็ได้ และถ้าภายหลังสินค้านั้นได้ปล่อยออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยมิใช่เพื่อการส่งออก ผู้นำเข้าที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มต้องยื่นใบขนสินค้าและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากร พร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรตามมาตรา 83/8 วรรคสอง และมาตรา 83/9 แห่งประมวลรัษฎากร 2.3 กรณีบริษัทฯ สั่งซื้อสินค้าจากต่างประเทศในนามของบริษัทฯ โดยว่าจ้างบริษัทรับขนส่งพัสดุภัณฑ์ทางอากาศ เช่น DHL หรือ FED EX ให้ดำเนินพิธีการศุลกากรและส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าโดยตรง กรณีดังกล่าว บริษัทรับขนส่งพัสดุภัณฑ์ทางอากาศเป็นผู้นำเข้ามีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยชำระภาษีมูลค่าเพิ่มต่อเจ้าพนักงานศุลกากรพร้อมกับการชำระอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ตามมาตรา 83/8 แห่งประมวลรัษฎากร และสำหรับการขายสินค้าให้แก่ลูกค้าดังกล่าวอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องออกใบกำกับภาษีเมื่อความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในอัตราร้อยละ 7.0 ตามมาตรา 78(1) มาตรา 80 และมาตรา 86 แห่งประมวลรัษฎากร |
เลขตู้ |
: 69/34648 |