เจ้าของที่ดินที่ยอมให้บริษัทเช่าระยะยาวเพื่อปลูกสร้างอาคาร ซึ่งได้รับเงินกินเปล่า หรืออาจเรียกชื่ออื่น ๆ เช่น ค่าหน้าดิน เงินแป๊ะเจี๊ยะ เป็นต้น โดยได้รับเป็นจำนวนมาก ๆ กรณีเช่นนี้ ผู้ให้เช่าที่ดินมีภาระภาษีอย่างไร ประการแรกเมื่อทำสัญญาเช่าผู้ให้เช่าต้องปิดอากรแสตมป์ในอัตราทุกค่าเช่า 1,000 บาทและเศษของ 1,000 บาทสุดท้ายต้องปิดอากรแสตมป์ 1 บาท ซึ่งอาจเสียเป็นตัวเงิน ณ สำนักงานที่ดินที่ได้จดทะเบียนการเช่า เนื่องจากสัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีกำหนดเวลาเกินกว่า 3 ปี ต้องกระทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาจึงจะมีผลผูกพันคู่สัญญาไปจนตลอดอายุการเช่า ทุกครั้งที่รับเงินค่าเช่าหรือเงินอื่นใดตามสัญญา ผู้ให้เช่าจะถูกบริษัทผู้เช่าหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% ของยอดเงินที่จ่าย เช่น เมื่อมีการจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะ จำนวน 30 ล้านบาท ในวันที่ทำสัญญาเช่าที่มีกำหนดเวลาเช่า 30 ปี บริษัทผู้จ่ายเงินได้จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% เป็นเงินหนึ่งล้านห้าแสนบาท และทุกครั้งที่จ่ายค่าเช่ารายเดือนก็ต้องคำนวณหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตรา 5% เช่นเดียวกัน สำหรับเงินแป๊ะเจี๊ยะนั้น ผู้มีเงินได้มี สิทธิเลือกเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเสียภาษีจากเงินแป๊ะเจี๊ยะทั้งก้อนที่ได้รับในปีที่ได้รับเงินได้ หรือจะเลือกเฉลี่ยเงินได้ตามจำนวนปีแห่งสัญญา แต่ในกรณีหลังนี้ผู้มีเงินได้ที่เป็นผู้ให้เช่าต้องนำเงินได้ที่เฉลี่ยได้ของปีอื่นที่มิใช่ปีที่ได้รับเงินได้ไปยื่นแบบ ภ.ง.ด.93 และเสียภาษีให้เสร็จสิ้นไปภายในเวลาเดียวกับการยื่นแบบ ภ.ง.ด.90 ของปีที่เกิดเงินได้นั้น และประการสำคัญ กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติให้ผู้มีเงินได้มีสิทธิเฉลี่ยภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายสำหรับเงินแป๊ะเจี๊ยะนั้นเป็นปีด้วยเช่นเดียวกัน ก็นับได้ว่ากรมสรรพากรได้ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้มีเงินได้ในกรณีดังกล่าวเป็นอย่างดีทีเดียว
กรณีได้รับเงินกินเปล่า หรือเงินช่วยค่าก่อสร้าง หรือเงิน แป๊ะเจี๊ยะมากล่าว ซึ่งเป็นการเกริ่นนำแต่เพียงหลักการของกฎหมาย ครั้งนี้จึงนำตัวอย่าง ชัด ๆ มาให้เข้าใจยิ่งขึ้น นาย ก. ให้บริษัทแห่งหนึ่ง เช่าอาคารพาณิชย์เมื่อวันที่ 1 พ.ค. 49 เป็นเวลา 10 ปี โดยได้รับค่าสิทธิการเช่า 12 ล้านบาท บริษัทได้หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายไว้ 5% เป็นเงิน 600,000 บาท กำหนดค่าเช่าเดือนละ 50,000 บาท ซึ่งตามแนวทางปฏิบัติตามประกาศกระทรวงการคลัง กำหนดให้นาย ก. มีสิทธิเลือกเฉลี่ยเงินได้ดังกล่าวเป็นรายปีตามอายุสัญญาเช่า แต่ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ ทำให้นาย ก. เสียภาษีเงินได้น้อยกว่าการนำเงินได้ทั้งก้อนมาเสียภาษีเงินได้ในปีที่ได้รับ ดังนั้น เมื่อนำเงินค่าสิทธิการเช่ามาเฉลี่ยตามอายุสัญญาเช่า จะเป็นเงินปีละ 1.2 ล้านบาท สำหรับปีแรกตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค.-31 ธ.ค. 49 รวม 8 เดือน คิดเป็นเงินได้ 800,000 บาท สำหรับเงินได้ที่เฉลี่ยเป็นรายปีตั้งแต่ปี 50-58 ปีละ 1.2 ล้านบาท และหักส่วนที่เหลือของปี 49 อีก 4 เดือน เป็นเงิน 400,000 บาท นาย ก. มีหน้าที่ต้องยื่นแบบ ภ.ง.ด. 93 โดยหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาในอัตรา 30% แล้วหักค่าลดหย่อนตามปกติ เช่นเดียวกับหลักเกณฑ์ของปี 49 คงเหลือเป็นเงินได้สุทธิเท่าใด ให้นำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า สำหรับเงินได้สุทธิ 100,000 บาท จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เงินได้ตามแบบ ภ.ง.ด. 93 นี้ นาย ก. ไม่ต้องนำไปยื่นแบบ ภ.ง.ด. 94 เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปีอีก ในส่วนของภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย นาย ก. ก็มีสิทธิถัวเฉลี่ยเป็นรายปี ตามส่วนของเงินได้ที่เฉลี่ยด้วย เช่นเดียวกับเงินค่าสิทธิการเช่า และนำจำนวนภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายได้ไปเครดิตหักออกจากจำนวนภาษีที่ต้องเสียตาม ภ.ง.ด.93 สำหรับปี 49 ที่เป็นปีเริ่มสัญญา นาย ก. จะมีเงินได้ดังนี้ เงินได้ค่าสิทธิการ เช่าเฉลี่ยตามระยะเวลา 8 เดือน เป็นเงิน 80,000 บาท ค่าเช่ารายเดือน ๆ ละ 50,000 บาท เป็นเงิน 400,000 บาท รวม 1.2 ล้านบาท โดยนำไปยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90 พร้อมกับแบบ ภ.ง.ด. 93 ของปี 49-58 (10 ปี) ให้เสร็จสิ้นไปภายในเดือน มี.ค. 50.