การที่ผู้หญิงและผู้ชายสู่ขอแต่งงานกันตามประเพณี มีการฉลองแต่งงานกินเลี้ยงในหมู่ญาติมิตรเพื่อนฝูง แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน หลังจากนั้นประมาณ 1 ปีผัวเมียคู่นี้จะทะเลาะกันเป็นประจำ จนกระทั่งฝ่ายหญิงตั้งท้อง แต่ปรากฏเมียของฝ่ายชายโผล่มาแสดงตัวว่าฝ่ายชายได้เขาเป็นเมียอีกคน เมื่อทะเลาะกันแตกหัก ฝ่ายชายก็ไปอยู่กินกับเมียใหม่ไม่กลับมาดูแลลูกที่คลอดออกมาอีกเลย
จึงอยากถามว่าการที่ผู้หญิงต้องการจะเรียกร้องสิทธิในการให้บิดาอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่เกิดมาจากชายผู้นี้นั้นจะต้องทำ อย่างไร
รัชนีกร
การแต่งงานกันตามประเพณีแต่ไม่มีการจดทะเบียนสมรสกันนั้น ยังไม่ถือว่าชายหญิงคู่นี้เป็นคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมาย ดังนั้นบุตรที่เกิดมาจึงถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของมารดาฝ่ายเดียว และเป็นบุตรนอกสมรสหรือบุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดา
การที่จะให้บิดารับผิดชอบช่วยเหลือค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ก็จะต้องทำให้บิดามีหน้าที่ตามกฎหมายต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตรด้วย นั่นคือต้องให้บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของบิดากลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของบิดาเสียก่อน
วิธีการที่บุตรนอกสมรสหรือบุตรไม่ชอบด้วยกฎหมายจะกลายมาเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาได้นั้น สามารถทำได้ 3 วิธี คือ บิดามารดาจดทะเบียนสมรสกันในภายหลัง หรือบิดาจดทะเบียนรับรองบุตร โดยต้องได้รับความยินยอมจากมารดาและเด็ก หรือให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดา
ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่ยอมรับว่าเด็กเป็นบุตร ก็จะต้องร้องขอต่อศาลขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของบิดา โดยฝ่ายหญิงต้องนำพยานหลักฐานต่าง ๆ เข้าสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรสืบสายโลหิตที่แท้จริงของบิดา และบิดาได้แสดงออกซึ่งพฤติการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าในขณะที่เด็กคนนี้ยังอยู่ในท้องหรือเด็กคลอดออกมาเป็นทารกแล้วว่าเด็กคนนี้เป็นบุตรของตน เช่น รูปถ่ายที่ฝ่ายชายแสดงออกต่อญาติมิตรเพื่อนฝูงว่าเด็กในท้องเป็นลูกของตน
พฤติการณ์ที่ฝ่ายชายพาฝ่ายหญิงไปฝากครรภ์ที่โรงพยาบาลและยอมรับว่าตนเป็นสามีของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ การที่ฝ่ายชายไปแจ้งเกิดที่อำเภอว่าเด็กเป็นบุตรของตน การที่ฝ่ายชายไปโรงเรียนและแสดงตัวเป็นผู้ปกครองของเด็กที่โรงเรียน ฯลฯดังนั้นหากมีกรณีที่ทำให้บุตรนอกสมรสเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็จะทำให้เกิดสิทธิของบุตรในการได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบิดามารดาของตน จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ
ในคดีที่มารดาฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากบิดา หากบิดามารดาจดทะเบียนสมรสกันแล้ว หรือบิดาจดทะเบียนรับรองบุตรแล้ว ก็จะมีการฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้เลย แต่ถ้าหากยังเป็นบุตรนอกสมรสกันก็สามารถฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าเด็กเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของบิดาและเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรไปในคดีเดียวกันได้
การฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร มักจะเรียกเป็นรายเดือนเป็นงวดเดือนไป หรืออาจจะฟ้องเรียกเป็นเงินก้อนเดียวคำนวณเสร็จสรรพไปทีเดียว ส่วนใหญ่ในกรณีที่ฝ่ายชายไม่มีทรัพย์สินหรือฐานะร่ำรวย แต่มีรายได้เป็นเงินเดือนหรือค่าจ้าง ในการฟ้องคดีก็จะฟ้องเรียกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นรายเดือน แต่ความเสี่ยงจะค่อนข้างมากหากว่าบิดาไม่รับผิดชอบในการส่งเสียค่าเลี้ยงดูบุตร เพราะมักจะมีการผิดนัดไม่จ่าย ทำให้ตกเป็นภาระแก่หญิงมารดาต้องไปติดตามบังคับคดีค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทุกครั้งที่มีการผิดนัด
แต่ถ้าหากเรียกเงินก้อนมา และฝ่ายชายมีฐานะดีมีทรัพย์สิน หากไม่จ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามคำพิพากษาก็สามารถจะยึดทรัพย์สินดังกล่าวมาบังคับชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรได้ แต่ฝ่ายหญิงจะต้องไปติดตามนำสืบว่ามีทรัพย์สินอยู่ที่ไหนบ้าง เพื่อนำชี้ให้ทำการยึดทรัพย์ ถ้าฝ่ายชายไม่อยากถูกยึดทรัพย์ออกขายทอดตลาดก็ต้องนำเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรที่ศาลพิพากษาให้จ่ายมาชำระเพื่อจะได้มีการเพิกถอนหรืองดการบังคับคดีไว้ก่อน
คดีฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นคดี ที่ไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เสียค่าขึ้นศาล 200 บาท และค่าขึ้นศาลสำหรับจำนวนเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูงวดในอนาคตอีก 100 บาท รวมเป็น 300 บาท อย่างไรก็ตามหากมีการฟ้องแบ่งสินสมรสหรือเรียกเงินที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงกันไว้ว่าจะชำระแล้วค้างชำระแล้วฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรรวมมาด้วยนั้นก็อาจจะทำให้คดีเหล่านั้นกลายเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ต้องเสียค่าขึ้นศาลในอัตราร้อยละ 2.5