สมาคมการค้า
การจดทะเบียนสมาคมการค้า
|
1. ตัวอย่างการจดทะเบียนจัดตั้งสมาคมการค้า |
2. ตัวอย่างการจัดส่งทะเบียนสมาชิก |
3. ตัวอย่างการร่างข้อบังคับ |
4. ตัวอย่างการจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ |
5. ตัวอย่างการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมข้อบังคับ |
6. ตัวอย่างการจดทะเบียนเลิกสมาคมการค้า |
7. ตัวอย่างการเปลี่ยนตัวผู้ชำระบัญชี |
8. ตัวอย่างการจดทะเบียนเสร็จการชำระบัญชี |
9. รายชื่อสมาคมการค้าทั่วประเทศ |
|
ลักษณะของสมาคมการค้า
สมาคมการค้า คือ สถาบันที่บุคคลหลายคนซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจทางการค้าหรือ อุตสาหกรรม หรือการเงิน หรือทางการประมง หรือทางเกษตรกรรม หรือธุรกิจอื่นใดในทางเศรษฐกิจร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อทำการส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจ อันมิใช่เป็นการหาผลกำไรหรือรายได้แบ่งปันกัน การจัดตั้งสมาคมการค้า มีขั้นตอนการปฏิบัติดังนี้
1. ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งอย่างน้อย 3 คน ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจประเภทเดียวกัน หรือ วิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกัน ร่วมกันจัดตั้งสมาคมการค้า โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการส่งเสริมการประกอบวิสาหกิจประเภทเดียวกันนั้น
2.ผู้เริ่มก่อการ กรอกแบบคำขออนุญาตจัดตั้งสมาคมการค้า (ส.ห.1) ให้ครบถ้วน พร้อมทั้งแนบ เอกสารประกอบดังต่อไปนี้
2.1 รายการขออนุญาตและจดทะเบียน (แบบ ส.ห.2)
2.2 หนังสือรับรองความประพฤติของผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง (แบบ ส.ห.3)
2.3 ข้อบังคับ
2.4 หลักฐานการเป็นผู้ประกอบวิสาหกิจของผู้เริ่มก่อการจัดตั้ง
2.5 สำเนาหนังสือแสดงสิทธิการใช้สถานที่จัดตั้ง
2.6 แผนที่แสดงที่ตั้งโดยสังเขปพร้อมรูปถ่าย
2.7 หนังสือมอบอำนาจ
ผู้เริ่มก่อการจัดตั้งยื่นคำขออนุญาตและเอกสารประกอบจำนวน1 ชุด โดยผู้เริ่มก่อการทุกคนต้อง
ลงลายมือชื่อต่อหน้านายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่ยื่นคำขอ (1) หรือ (2)
3.เมื่อตรวจสอบคำขอและเอกสารประกอบแล้วถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดนายทะเบียนจะสั่งอนุญาตและออกใบอนุญาตพร้อมทั้งจดทะเบียนสมาคมการค้า 4. สมาคมการค้าที่ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งเป็นสมาคมการค้า จะมีฐานะเป็นนิติบุคคลและมีสิทธิ และหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติตามที่พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ.2509 กำหนดไว้ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า จะได้ดำเนินการเพื่อลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
สถานที่ยื่นคำขอ
การยื่นคำขออนุญาตและจดทะเบียนสมาคมการค้า ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องยื่นต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ สถานที่ดังต่อไปนี้
(1) กรณีสำนักงานของสมาคมการค้าตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ต่อนายทะเบียนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ณ ส่วนจดทะเบียนสมาคมการค้าและหอการค้า กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ถนนนนทบุรี ตำบลบางกระสอ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี
(2) กรณีสำนักงานของสมาคมการค้า ตั้งอยู่ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานคร ให้ยื่น ณ สำนักงานพาณิชย์จังหวัดในจังหวัดที่สำนักงานของสมาคมการค้าตั้งอยู่
ค่าธรรมเนียม
การขออนุญาตจัดตั้งและจดทะเบียนสมาคมการค้า ผู้ขอจดทะเบียนต้องชำระค่าธรรมเนียมตามอัตราดังต่อไปนี้
(1) ใบอนุญาตสมาคมการค้า ฉบับละ 400 บาท
(2) การจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ ครั้งละ 5 บาท
(3) การจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ ครั้งละ 5 บาท
หน้าที่ของสมาคมการค้า
สมาคมการค้า ต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. 2509 ดังนี้
1. จัดทำทะเบียนสมาชิกเก็บรักษาไว้ที่สำนักงานของสมาคมการค้าและให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกนั้นแก่นายทะเบียน ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่ได้รับใบอนุญาต และ เมื่อมีการรับสมาชิกใหม่หรือมีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับทะเบียนสมาชิก ให้ส่งสำเนาทะเบียนสมาชิกที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงแล้วให้แก่ นายทะเบียน ภายใน 90 วัน นับแต่วันที่รับสมาชิกใหม่หรือมีการเปลี่ยนแปลง
2. จัดประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการชุดแรก เพื่อเป็นผู้ดำเนินกิจการและเป็นผู้แทนของสมาคมการค้าในกิจการอันเกี่ยวกับบุคคลภายนอก และเมื่อเลือกตั้งคณะกรรมการแล้ว จะต้องนำไปยื่นจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่เลือกตั้ง
3. การแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับจะต้องนำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประชุมใหญ่ลงมติให้แก้ไข
4. การเลือกตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการจะต้องนำไปจดทะเบียนภายใน 30 วัน นับแต่วันตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ
5. จัดทำงบดุลอย่างน้อยครั้งหนึ่งทุกรอบสิบสองเดือนซึ่งจัดว่าเป็นรอบปีในทางบัญชี และให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบแล้วนำเสนอเพื่ออนุมัติต่อที่ประชุมใหญ่ภายใน 120 วัน นับแต่วันที่สิ้นปีการบัญชี
6. จัดทำรายงานประจำปีแสดงผลการดำเนินกิจการเสนอต่อที่ประชุมใหญ่ในคราวที่เสนองบดุล และให้ส่งสำเนารายงานกับงบดุลไปยังนายทะเบียนภายใน 30 วันนับแต่วันที่มีการประชุมใหญ่
7. การเลิกสมาคมการค้าจะต้องแจ้งให้นายทะเบียนทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เกิดมีเหตุที่ทำให้เลิก ในกรณีดังต่อไปนี้
(1) มีข้อบังคับกำหนดให้เลิกในกรณีใดและเมื่อมีกรณีนั้น
(2) ตั้งโดยมีกำหนดเวลาและ เมื่อสิ้นเวลานั้น
(3) เมื่อที่ประชุมใหญ่ลงมติให้เลิก
(4) เมื่อล้มละลาย
8. สมาคมการค้าใดไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไป และขาดการติดต่อกับสำนักงานทะเบียนสมาคมการค้าเกิน 2 ปี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์อาจใช้ดุลยพินิจให้เลิกสมาคมการค้าได้
9. การยื่นจดทะเบียนหรือจัดส่งเอกสารต่าง ๆ ตามที่กล่าวข้างต้น จะต้องกระทำตามกำหนดโดยเคร่งครัด มิฉะนั้นจะมีความผิด และต้องระวางโทษตามที่กฎหมายกำหนด
รายการขออนุญาต การขอจดทะเบียน หรือการแจ้งและเอกสารประกอบ
1. การขออนุญาตและจดทะเบียนจัดตั้ง
- คำขอ : แบบ ส.ห.1
- เอกสารประกอบรายการ : ข้อ 2.1-2.7
2. การจดทะเบียนแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อบังคับ
- คำขอ : แบบ ส.ห.1
- ข้อบังคับที่ขอแก้ไข
- สำเนารายงานการประชุมใหญ่ครั้งที่มีมติ
- สำเนาหนังสือแสดงสิทธิการใช้สถานที่ตั้งสำนักงาน(กรณีแก้ไขที่ตั้งสำนักงาน)
- แผนที่แสดงที่ตั้งโดยสังเขปพร้อมรูปถ่าย (กรณีแก้ไขที่ตั้งสำนักงาน)
- ใบอนุญาตฉบับเดิม (กรณีแก้ไขชื่อสมาคมการค้า)
- สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ขอจดทะเบียน
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
3. การจดทะเบียนตั้งหรือเปลี่ยนตัวกรรมการ
- คำขอ : แบบ ส.ห.1
- หนังสือรับรองความประพฤติของกรรมการ แบบ ส.ห.3 (กรณีใช้มติที่ประชุมคณะกรรมการ)
- หนังสือรับรองประวัติกรรมการ แบบ ส.ห.6
- รายชื่อคณะกรรมการ แบบ ส.ห.7
- สำเนารายงานการประชุมใหญ่/คณะกรรมการครั้งที่มีมติ
- สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ขอจดทะเบียน
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
4. การแจ้งเลิก/เปลี่ยนตัวผู้ชำระบัญชี
- คำขอ : แบบ ส.ห.1
- รายการแจ้งเลิก/เปลี่ยนตัวผู้ชำระบัญชี แบบ ส.ห.8
- สำเนารายงานการประชุมใหญ่ครั้งที่มีมติ
- สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ขอจดทะเบียน
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
5. การแจ้งเสร็จการชำระบัญชี
- รายการแจ้งเสร็จการชำระบัญชี: แบบ ส.ห.10
- รายงานการชำระบัญชี : แบบ ส.ห.9
- สำเนาบัตรประจำตัวของผู้ชำระบัญชี
- หนังสือมอบอำนาจ (ถ้ามี)
6. การแจ้งทะเบียนสมาชิก
- หนังสือนำส่ง
- แบบ ส.ห.11
|
**หมายเหตุ **
1. แบบพิมพ์ต่างๆ ไปที่ดาวน์โหลดแบบฟอร์ม
2. การกรอกข้อความในแบบพิมพ์คำขอจดทะเบียนและเอกสารที่ใช้ในการจดทะเบียนให้พิมพ์ ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์
|
การเสียภาษีเงินได้ของมูลนิธิหรือสมาคม
มูลนิธิหรือสมาคมที่ประกอบการมีรายได้ หากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มิได้ประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่ต้องนำรายได้ที่ได้รับก่อนหักรายจ่ายใดๆ มารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล และยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้มูลนิธิหรือสมาคม ตามแบบ ภ.ง.ด.55 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
1. รายได้ของมูลนิธิหรือสมาคมที่จะต้องเสียภาษีเงินได้
รายได้ที่จะต้องเสียภาษีเงินได้ของมูลนิธิหรือสมาคม ได้แก่ รายได้จากการ ประกอบกิจการ เช่น ค่าเช่า รายได้จากการจำหน่ายสินค้าและบริการ และรายได้จากทุน เช่น ดอกเบี้ย และเงินปันผล เป็นต้น
มูลนิธิหรือสมาคมจะต้องนำรายได้ดังกล่าวมาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลตามอัตรา ที่กฎหมายกำหนด โดยไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
2. รายได้ของมูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้
มูลนิธิหรือสมาคมที่ไม่ได้รับการประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47(7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร จะได้รับยกเว้นไม่ต้องนำรายได้ดังต่อไปนี้มาคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้แก่
1. ค่าลงทะเบียนหรือค่าบำรุงที่ได้จากสมาชิก
2. เงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการบริจาค
3. เงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการให้โดยเสน่หา
4. เงินได้จากกิจการโรงเรียนเอกชนของมูลนิธิหรือสมาคม ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน แต่ไม่รวมถึงเงินได้จากการขายของ การรับจ้างทำของ หรือการให้บริการอื่นใดที่โรงเรียนเอกชนซึ่งเป็นโรงเรียนประเภทอาชีวศึกษาได้รับจากผู้ซึ่งมิใช่นักเรียน
มูลนิธิหรือสมาคมซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจะต้องเสียภาษีจากยอดรายรับก่อนหักรายจ่ายในอัตรา ดังนี้
(ก) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(1)-(7) แห่งประมวลรัษฎากร เช่น เงินได้จากดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่า ค่าสิทธิ ค่านายหน้า เป็นต้น เสียภาษีในอัตราร้อยละ 10.0
(ข) เงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งได้แก่เงินได้จากธุรกิจการพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่ง การขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการอื่น ๆ นอกเหนือจาก(ก) เสียภาษีในอัตราร้อยละ 2 .0
การคำนวณภาษี
เมื่อมูลนิธิหรือสมาคมมีรายได้จากการประกอบกิจการจะต้องนำรายได้ ซึ่งไม่ได้รับยกเว้นมาคำนวณภาษี โดยคำนวณจากรายได้ก่อนหักรายจ่าย คูณด้วยอัตราภาษีร้อยละ 10.0 หรือร้อยละ 2.0 แล้วแต่กรณี ผลที่ได้เป็นภาษีที่ต้องเสีย
การคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลของมูลนิธิหรือสมาคม จะต้องคำนวณตามรอบระยะเวลาบัญชีเช่นเดียวกับ “บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล”
ตัวอย่างการคำนวณภาษี
สมาคม ก. มีรายได้จากการประกอบกิจการ และไม่ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ในปี 2555 สมาคมมีรายได้ ดังนี้
(1) ค่าลงทะเบียน
|
50,000
|
บาท
|
(2) เงินที่ได้รับจากการบริจาค
|
120,000
|
บาท
|
(3) ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
|
10,000
|
บาท
|
(4) รายได้จากค่านายหน้า
|
20,000
|
บาท
|
(5) รายได้จากการขายหนังสือ
|
10,000
|
บาท
|
(6) รายได้จากการให้เช่าทรัพย์สินของสมาคม
|
20,000
|
บาท
|
(7) รายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
|
60,000
|
บาท
|
การคำนวณภาษี
(1) ค่าลงทะเบียน และ
|
(2) เงินที่ได้รับจากการบริจาคได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาเสียภาษีเงินได้
|
(3) ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคาร
|
อัตราภาษี 10%
|
(10,000x10%)
|
=
|
1,000
|
บาท
|
(4) ค่านายหน้า
|
อัตราภาษี 10%
|
(20,000x10%)
|
=
|
2,000
|
บาท
|
(5) ค่าจำหน่ายหนังสือ
|
อัตราภาษี 2%
|
(10,000x2%)
|
=
|
200
|
บาท
|
(6) ค่าเช่าทรัพย์สิน
|
อัตราภาษี 10%
|
(20,000x10%)
|
=
|
2,000
|
บาท
|
(7) ค่าจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม
|
อัตราภาษี 2%
|
(60,000x2%)
|
=
|
1,200
|
บาท
|
รวมภาษีที่ต้องเสีย
|
|
6,400
|
บาท
|
มูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับการยกเว้นภาษี
มูลนิธิหรือสมาคมที่ได้รับการยกเว้นภาษี มูลนิธิหรือสมาคมที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศกำหนดให้เป็นองค์การหรือสถานสาธารณกุศล ตามมาตรา 47(7)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามประมวลรัษฎากร ไม่ว่าจะมีรายได้จากกิจการประเภทใด และผู้บริจาคได้รับสิทธิ ดังนี้
- บุคคลธรรมดาบริจาคเงินให้กับมูลนิธิหรือสมาคม มีสิทธินำเงินบริจาคมาหักเป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกินร้อยละ 10 ในการคำนวณเงินได้สุทธิ
- บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้กับมูลนิธิหรือสมาคมมีสิทธินำเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคในส่วนที่ไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ มาหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิ
- ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ประเภทขายสินค้า นำสินค้าไปบริจาคให้กับมูลนิธิหรือสมาคม ผู้ประกอบกิจการได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จึงไม่ต้องเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากมูลนิธิหรือสมาคม
รวบรวมโดย จรัส อินทร์คง
ที่มา : กรมพัฒนาธุกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ และ กรมสรรพากร