ตรวจสอบบัญชี,ทำบัญชี,สำนักงานบัญชี,สำนักงานตรวจสอบบัญชี,สอบบัญชี สอบถามเรื่องการซื้อของจากต่างป...
ReadyPlanet.com


สอบถามเรื่องการซื้อของจากต่างประเทศแล้วมีค่าสิทธิ (royalty)


สอบถามเรื่องการซื้อของจากต่างประเทศแล้วมีค่าสิทธิ (royalty fee) คือบริษัทที่ผมทำงานอยู่ซื้อแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์จาก อเมริกามาแล้วทีนี้บริษัทที่เขาขายให้นั้นเขาคิดค่าของแยกกันระหว่างค่า hardware คือแผงวงจร กับ software ที่ฝังมาในแผงวงจรเรียบร้อยแล้วเวลาเขาส่ง invoice มาเก็บเงินเขาก็จะส่งมาเป็นสองรายการตามนี้อะครับ - Hardware 100 USD - Royalty fee 50 USD ส่วน invoice ที่เขาใช้ในการ clear custom เขามีแค่รายการเดียวคือ - Hardware 100 USD ทีนี้ผมไม่แน่ใจว่าการทำอย่างนี้มันน่าจะผิดใช่ใหมหรือถูกต้องแล้วเพราะค่า royalty ไม่มีของที่จับต้องได้เลยไม่ต้องเสียภาษีนำเข้าถูกหรือป่าวหรือต้องทำอย่างไรครับ กลัวโดนหาว่าเลี่ยงภาษีแล้วโดนปรับทีหลังจะลำบากเพราะมูลค่าการนำเข้าของ royalty fee ก็หลายบาทอยู่ ช่วยตอบให้ด้วยนะครับ จักเป็นพระคุณอย่างสูงเพราะถามบัญชีที่บริษัทเขาก็ไม่รู้เรื่องเลย


ผู้ตั้งกระทู้ banban :: วันที่ลงประกาศ 2012-01-27 08:40:49 IP : 101.108.56.193


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (2248741)
ลองอ่านดูข้อหารือนี้ดูครับผมไม่ถนัดเรื่องภาษีของกรมศุลกากร เลขที่หนังสือ : กค 0702/8306 วันที่ : 2 ธันวาคม 2551 เรื่อง : ภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีค่าสิทธิที่ชำระไปต่างประเทศ ข้อกฎหมาย : มาตรา 78/2 (1) มาตรา 89(3) มาตรา 89/1 และมาตรา 82/13 แห่งประมวล รัษฎากร ข้อหารือ กรมศุลกากรได้ดำเนินการตรวจสอบการสำแดงราคาสินค้านำเข้าเพื่อเป็นฐานการคำนวณอากรขาเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้นำเข้าหลายราย ปรากฏว่า ผู้นำเข้าสำแดงราคาสินค้า โดยไม่ได้นำค่าสิทธิที่ชำระไปยังต่างประเทศมารวมเป็นส่วนหนึ่งของราคาซื้อขายของที่นำเข้า ซึ่งกฎกระทรวงฉบับที่ 132 (พ.ศ.2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการใช้และการกำหนดราคาศุลกากร ข้อ 9 กำหนดให้นำค่าสิทธิและค่าธรรมเนียมใบอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับของที่นำเข้าไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมอันเป็นเงื่อนไขในการขายของนั้น มารวมไว้ในราคาซื้อขายของที่นำเข้า โดยการสำแดงราคาของผู้นำเข้าดังกล่าวเพื่อให้มีการชำระค่าภาษีอากรต่ำลงและเมื่อผู้นำเข้าขอให้กรมศุลกากรพิจารณาเปรียบเทียบงดการฟ้องร้อง กรมศุลกากรจะพิจารณาตามหลักเกณฑ์โดยเปรียบเทียบปรับสองเท่าของอากรที่ขาด และให้ชำระค่าภาษีอากรที่ขาดให้ครบถ้วนพร้อมเบี้ยปรับหนึ่งเท่าของภาษีมูลค่าเพิ่ม นอกจากนี้ ข้อเท็จจริงยังปรากฏว่า ในบางคดีค่าสิทธิที่ผู้นำเข้าชำระไปยังต่างประเทศนั้น ผู้นำเข้าได้มีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มของค่าสิทธิ ตามแบบ ภ.พ.36 ไว้แล้ว ดังนั้น เพื่อให้ได้ข้อสรุปเป็นแนวทางเดียวกันในการเรียกเก็บค่าภาษีอากร เบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรของภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขาด กรมศุลกากรจึงขอทราบว่า 1. กรณีการตรวจพบความผิดของเจ้าหน้าที่ศุลกากรดังกล่าว ผู้นำเข้ามีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นเมื่อใด (ขณะนำเข้าหรือขณะมีการชำระค่าสิทธิ) 2. กรณีผู้นำเข้ามิได้ชำระค่าสิทธิที่เป็นส่วนหนึ่งของราคาศุลกากรในขณะนำเข้า ซึ่งมีความผิดตามกฎหมายศุลกากรนั้น ผู้นำเข้าจะมีความผิดตามประมวลรัษฎากร ฐานไม่ได้ชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มหรือชำระภาษีมูลค่าเพิ่มไว้ไม่ครบถ้วน เนื่องจากการนำสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักรด้วยหรือไม่ และถ้ามีความผิดจะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากร ในอัตราเท่าใด นับตั้งแต่เมื่อใด (ขณะนำเข้าหรือขณะมีการชำระค่าสิทธิ) 3. กรณีผู้นำเข้ามีความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าดังกล่าว ในขณะนำเข้า กรมศุลกากรสามารถนำภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้นำเข้าได้ชำระไว้แล้วหลังวันนำเข้า ตามแบบ ภ.พ.36 ไปหักกับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มที่จะต้องเสียในการประเมินเมื่อตรวจพบความผิดได้หรือไม่ และผู้นำเข้าจะต้องเสียเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามประมวลรัษฎากรด้วยหรือไม่ เพราะเหตุใด แนววินิจฉัย 1. กรณีตาม 1 และ 2 เจ้าหน้าที่ศุลกากรได้ตรวจพบว่า ผู้นำเข้าสำแดงราคาสินค้า โดยไม่ได้นำค่าสิทธิมารวมเป็นส่วนหนึ่งของราคาสินค้าที่นำเข้า ซึ่งกรมศุลกากรจะพิจารณาตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากรและเปรียบเทียบปรับสองเท่าของอากรที่ได้ชำระไว้ขาด และผู้นำเข้ายังต้องรับผิดเสียภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่มอีกด้วย สำหรับกรณียื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องหรือมีข้อผิดพลาดอันเป็นเหตุให้จำนวนภาษีต้องเสียในเดือนภาษีคลาดเคลื่อนไป ให้เสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของเงินภาษีที่เสียคลาดเคลื่อนพร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือน ของเงินภาษีที่ต้องชำระ โดยความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มเกิดขึ้นในขณะนำเข้าเมื่อชำระอากรขาเข้า วางหลักประกันอากรขาเข้า หรือจัดให้มีผู้ค้ำประกันอากรขาเข้า ทั้งนี้ ตามมาตรา 89(3) มาตรา 89/1 และมาตรา 78/2(1) แห่งประมวลรัษฎากร 2. กรณีตาม 3 เนื่องจากกรณีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการนำเข้าสินค้า ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มได้แก่ ผู้นำเข้าสินค้าตามมาตรา 82(2) แห่งประมวลรัษฎากร โดยฐานภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้า ได้แก่ มูลค่าของสินค้านำเข้า ซึ่งใช้ราคา ซี.ไอ.เอฟ.ของราคาสินค้าบวกด้วยอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิตตามที่กำหนดในมาตรา 77/1(19) ค่าธรรมเนียมพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุนและภาษีและค่าธรรมเนียมอื่นตามที่จะได้กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา และในกรณีเจ้าพนักงานศุลกากรได้ประเมินราคาเพื่อเสียอากรขาเข้าใหม่ตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร ให้ถือราคานั้นเป็นราคาสินค้าในการคำนวณราคา ซี.ไอ.เอฟ.ตามมาตรา 79/2(1)(ข) แห่งประมวลรัษฎากร แต่กรณีการนำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามแบบ ภ.พ.36 ภายหลังวันนำเข้าเพื่อชำระค่าสิทธิไปยังต่างประเทศ ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ได้แก่ ผู้ประกอบการที่ได้ให้บริการในต่างประเทศและได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักรตามมาตรา 82/13 แห่งประมวลรัษฎากร โดยฐานภาษี ได้แก่ มูลค่า ทั้งหมดที่ผู้ประกอบการได้รับหรือพึงได้รับจากการให้บริการ ผู้นำเข้าซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินค่าบริการมิใช่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่เป็นเพียงผู้มีหน้าที่นำส่งภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 83/6 แห่งประมวลรัษฎากร ดังนั้น เมื่อผู้นำเข้าต้องชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มอันเกิดจากการนำเข้าที่ผู้นำเข้าชำระขาดไป ผู้นำเข้าดังกล่าวไม่มีสิทธินำภาษีมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการที่อยู่นอกราชอาณาจักรที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 82/13 แห่งประมวลรัษฎากร ไปหักออกจากภาษีมูลค่าเพิ่มที่ผู้นำเข้าจะต้องเสียกรณีการนำเข้าสินค้า เลขตู้ : 71/36237
ผู้แสดงความคิดเห็น จรัส วันที่ตอบ 2012-01-29 12:04:17 IP : 124.120.119.57



[1]


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล *
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.