หน้าหลัก | English | ตรวจสอบบัญชี | บัญชี ภาษี | จดทะเบียนบริษัท - ธุรกิจ | กฏหมาย | ยื่นแบบและนำส่งภาษี | ผู้บริหาร | หนังสือรับรอง | ค่าบริการ | ติดต่อเรา | มุมธรรมะ |
การเก็บเอกสารทางบัญชี | |
ขอรบกวนสอบถามค่ะ บริษัท ได้ทำการปิดบัญชีและเคลียร์บัญชีไปตั้งแต่ปี 2546 จะต้องเก็บเอกสารทางบัญชีไว้เป็นระยะเวลากี่ปีคะ และถ้าต้องการทำลายเอกสารแล้ว จะต้องดำเนินการขอกับทาง กรมสรรพากรก่อนหรือไม่คะ
| |
ผู้ตั้งกระทู้ เล็ก :: วันที่ลงประกาศ 2010-06-15 14:05:12 IP : 61.90.143.146 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (2075824) | |
ลองดู link นี้ครับ http://www.jarataccountingandlaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=418265&Ntype=6 | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จรัส วันที่ตอบ 2010-06-18 08:00:50 IP : 203.209.95.86 |
ความคิดเห็นที่ 2 (2075826) | |
การเก็บรักษาเอกสาร หลักฐาน และรายงานตามประมวลรัษฎากร การเก็บรักษาเอกสาร หลักฐาน และรายงานในระบบภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นไปตาม มาตรา 87/3 แห่งประมวลรัษฎากร และประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 89) ดังนี้ 1. สถานที่เก็บรักษา ให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนที่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษี และผู้มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงานต่างๆ จัดเก็บและรักษารายงาน ใบกำกับภาษี สำเนาใบกำกับภาษี พร้อมทั้งเอกสารประกอบการลงรายงานดังกล่าว ไว้ ณ สถานประกอบการที่จัดทำรายงานนั้นหรือที่อื่นที่อธิบดีฯกำหนด กรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนได้รับอนุมัติให้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีรวมกัน ณ สถานที่ประกอบการที่เป็นสำนักงานใหญ่ การจัดเก็บรักษาเอกสาร หลักฐาน และรายงาน ก็ให้ปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น 2. กำหนดเวลาในการเก็บรักษา ให้ผู้ประกอบการ เก็บรักษาเอกสาร หลักฐาน และรายงาน เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันที่ได้ยื่นแบบแสดงรายการภาษีหรือวันทำรายงานแล้วแต่กรณี เว้นแต่กรณีดังนี้ 2.1 ในกรณีผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มชั่วคราวตาม มาตรา 85/3 การเก็บรักษารายงานและเอกสารดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และระยะเวลาตามที่อธิบดีฯกำหนด แต่ระยะเวลาดังกล่าวต้องไม่เกินกว่า 5 ปี 2.2 ในกรณีที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนเลิกประกอบกิจการ ให้ผู้ประกอบการหรือผู้มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการภาษี และชำระภาษีหรือผู้ที่มีหน้าที่ต้องจัดทำรายงาน จัดเก็บรายงาน และเอกสารต่างๆ ในระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม ที่ตนรักษาอยู่ในวันเลิกกิจการ ต่อไปอีก 2 ปี ( 2 ปี นับแต่วันเลิกกิจการ) 2.3 ในกรณีที่เห็นสมควรอธิบดีฯ จะกำหนดให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนเก็บรักษา รายงานและหลักฐานต่างๆ ดังกล่าวไว้เกิน 5 ปี ก็ได้ แต่ต้องไม่เกิน 7 ปี 3. การเก็บรักษาใบกำกับภาษี และหลักฐานอื่นที่ใช้ประกอบการลงรายงานภาษีซื้อ ให้จัดเก็บเรียงตามลำดับและตรงตามรายการในรายงาน ดังต่อไปนี้ 3.1 ให้จัดเก็บแยกต่างหากจากเอกสารหลักฐานอื่น 3.2 แยกเก็บเป็นรายเดือนภาษี 3.3 เรียงตามลำดับ วัน เดือน ปี ที่เกิดขึ้นก่อนหลัง (ตามวันที่ที่ได้รับใบกำกับภาษี ใบเพิ่มหนี้ ใบลดหนี้) 3.4 ให้เลขที่กำกับใบสำคัญดังกล่าว โดยเรียงตามลำดับขึ้นใหม่ทางด้านบนขวาของใบสำคัญนั้นๆ เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาดังกล่าวข้างต้น ผู้ประกอบการจดทะเบียนสามารถทำลายเอกสาร หลักฐาน ดังกล่าวได้ การเก็บรักษาเอกสาร หลักฐาน ตามกฏหมายว่าด้วยการบัญชี (ตาม พรบ.การบัญชี พ.ศ.2543) กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีหน้าที่จัดทำบัญชี เก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีดังนี้ 1. ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีไว้ ณ สถานประกอบธุรกิจ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสารวัตรบัญชีหรือสารวัตรใหญ่บัญชี ให้เก็บรักษาไว้ ณ สถานที่อื่น 2. ระยะเวลาในการเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ผู้มีหน้าที่จัดทำบัญชี ต้องเก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชี ไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี หรือจนกว่าจะมีการส่งมอบกรณีเลิกประกอบธุรกิจโดยเหตุผลอื่น นอกจากเหตุล้มละลาย แต่เมื่อได้เก็บรักษาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี แล้ว จะขออนุญาตต่อสารวัตรใหญ่บัญชี หรือ สารวัตรบัญชี ไม่เก็บรักษาต่อไปก็ได้ การยื่นคำขออนุญาตไม่เก็บรักษาบัญชีดังกล่าว ผู้มีหน้าที่ทำบัญชีจะต้อง 1. เก็บรักษาบัญชีและเอกสารประกอบการลงบัญชีสำหรับปีนั้นมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี นับแต่วันปิดบัญชี 2. มีหนังสือของกรมสรรพากรแสดงว่าได้ชำระภาษีครบถ้วนแล้วสำหรับปีนั้นๆ เว้นแต่ในกรณีที่มีการลงรายการบัญชีด้วยเครื่องจักรทำบัญชี หรือในกรณีที่มีการถ่ายลงในไมโครฟิล์ม โดยได้แจ้งต่อสารวัตรใหญ่บัญชีหรือสารวัตรบัญชีแล้ว จะไม่ส่งหนังสือของกรมสรรพากร แสดงว่าได้ชำระภาษีครบถ้วนแล้วในปีนั้นๆ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น จรัส วันที่ตอบ 2010-06-18 08:03:37 IP : 203.209.95.86 |
ความคิดเห็นที่ 3 (4082482) | |
มีเรื่องเล่า เมื่อผู้หญิงขับรถเองก็ต้องปวดประสาท กับเรื่องน้ำมันเกียร์รถยนต์ น้ำมันเครื่องของเครื่องยนต์เบนซินกับเครื่องยนต์ดีเซลต่างกันอย่างไร ต้องมาศึกษาเรื่องน้ำมันเครื่องอีกถ้าไม่มี -ัวช่วย*0* น้ำมันเครื่องที่คุณภาพสูงที่สุด ไม่ได้เยี่ยมที่สุดเพื่อให้การปกป้องเครื่องยนต์ทั้งคู่ ควรเลือกตามการใช้งาน เท่าที่ได้ฟังมามี 2 เรื่องที่สำคัญ 1.ความข้นของน้ำมัน ข้นน้อยจะใส ข้นมากขุ่นมาก ไม่มีแบบไหนดีที่สุดอยู่ที่การใช้งาน หากใช้งานไม่หนักก็ข้นน้อยประมาณนี้ 2.สารเคมีที่เติมเพิ่มเข้าไป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น เช่น สารป้องกันการเกิดฟอง สารป้องกันความร้อน อะไรประมาณนั้นแหละ เครื่องยนต์เบนซิน ไม่ควรจะเอา API น้อยกว่า SL มาเติม การเปลี่ยนถ่าย ทะลุ ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตร ส่วนน้ำมันเครื่องยนต์ดีเซล ก็ไม่เหมาะจะเอาน้ำมันเครื่องที่มี API ต่ำกว่า CH-๔ มาเติม การเปลี่ยนถ่ายก็ประมาณ ๑๐,๐๐๐ กิโลเมตรค่ะ ยังมี น้ำมันเกียร์รถยนต์ น้ำยาหม้อน้ำ ฯลฯ T^T | |
ผู้แสดงความคิดเห็น บอลกับหนูคันหูดีกว่า วันที่ตอบ 2016-10-14 15:30:18 IP : 49.48.167.216 |
ความคิดเห็นที่ 4 (4121458) | |
ถ้าต้องจัดเก็บเป็นเวลานานหลายๆปีลองใช้ตู้แบบประหยัดพื้นที่ดู นอกจากนั้นยังสามารถจัดเก็บได้เป็นหมวดหมู่ค้นหาง่าย ลองเข้าไปดูที่ http://www.peemachiate.com น่าจะช่วยได้เยอะทีเดียว | |
ผู้แสดงความคิดเห็น peemac (peemachiate-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2017-01-24 10:02:57 IP : 124.122.141.106 |
ความคิดเห็นที่ 5 (4121462) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น peemac (peemachiate-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2017-01-24 10:05:14 IP : 124.122.141.106 |
ความคิดเห็นที่ 6 (4453874) | |
pg slot ทดลองเล่น เว็บเกมออนไลน์อันดับ 1 ที่กำลังมาแรงที่สุดในปี 2022 นี้กับเว็บเกมออนไลน์ที่รวบรวมเกมทดลองเล่นจากทุกค่ายรวมไว้ในที่เดียว กับ PG SLOT เท่านั้น | |
ผู้แสดงความคิดเห็น ดี วันที่ตอบ 2022-02-27 15:50:05 IP : 5.62.20.16 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 1474591 |