การโอนกิจการต่างจากการควบกิจการอย่างไร
1. การโอนกิจการ นั้น ถ้าโอนกิจการทั้งหมด ผู้โอนกิจการทั้งหมดต้องเลิกกิจการ ส่วนบริษัทผู้รับโอนกิจการยังคงดำเนินกิจการต่อไป หรือ ถ้าโอนกิจการบางส่วน สภาพการเป็นนิติบุคคลทั้งผู้โอนและผู้รับโอนยังคงตั้งอยู่เช่นเดิม แต่อาจมีการเปลี่ยนแปลงในสัดส่วนของผู้ถือหุ้น หรือผู้บริหารของกิจการแล้วแต่กรณี เช่น บริษัท ก เข้าไปซื้อกิจการของบริษัท ข และซื้อหุ้นทั้งหมดจากผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท ข บริษัท ก ก็สามารถเข้าไปดำเนินการออกเสียงเลือกคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อบริหารบริษัท ข ต่อไปได้ การดำเนินการดังกล่าว ผู้ถือหุ้นสามารถดำเนินการได้เองโดยจัดทำสัญญาการโอนหุ้นระหว่างผู้โอนและผู้รับโอน และจัดทำสำเนาทะเบียนผู้ถือหุ้น (แบบ บอจ.5) เพื่อนำส่งนายทะเบียนต่อไปเท่านั้น หรือหากมีการเปลี่ยนแปลงกรรมการก็สามารถดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงกรรมการและอำนาจกรรมการใน
ภายหลังได้เช่นกัน
2. การควบกิจการ นั้นแตกต่างจากการโอนกิจการ เนื่องจากเมื่อได้มีการควบรวมกิจการแล้ว สถานภาพของบริษัททั้ง 2 แห่งจะต้องควบรวมกัน บริษัทเดิมสิ้นสภาพเป็นนิติบุคคล และเป็นบริษัทใหม่เพียงบริษัทเดียว และการควบรวมดังกล่าวต้องมีมติพิเศษจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น โดยต้องนำมติพิเศษให้ควบบริษัทนั้นมาจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันลงมติ (ให้นายทะเบียนรับจดทะเบียนไว้ก่อน) รวมทั้งต้องประกาศหนังสือพิมพ์ท้องที่ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย การส่งคำบอกกล่าวไปยังเจ้าหนี้ เพื่อให้มีการคัดค้านภายใน 60 วัน ซึ่งหากไม่มีผู้ใดคัดค้านบริษัทจึงจะสามารถนำความไปจดทะเบียนควบบริษัทได้
ผลของการควบบริษัทจำกัด
- บริษัทเดิม สิ้นสภาพเป็นนิติบุคคลไป โดยมิใช่เป็นการเลิกกิจการตามปกติ จึงไม่ต้องจดทะเบียนเลิกและชำระบัญชี มีสภาพเป็นบริษัทใหม่
- ผู้ถือหุ้นของทั้งสองบริษัทที่ควบเข้าด้วยกัน เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่
- ทุนของบริษัทเดิมรวมเป็นทุนของบริษัทใหม่
- สิทธิและความรับผิดชอบของแต่ละบริษัท รวมกันเป็นสิทธิและความรับผิดชอบของบริษัทใหม่
ต่อไปนี้เป็นปัญหาทางด้านภาษีอากรเกี่ยวกับการควบโอนกิจการ โดยนำบทความมาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ เขียนโดยอาจารย์สุเทพ พงษ์พิทักษ์
การควบโอนกิจการ (1)
30 สิงหาคม 2549 07:35 น.
ไขปัญหาภาษีสัปดาห์นี้ ขอนำประเด็นการควบโอนกิจการมาเป็นประเด็นปุจฉา-วิสัชนา ดังนี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ปุจฉา การเลิกกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล แตกต่างไปจากการควบโอนกิจการอย่างไร มีผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลอย่างไร
วิสัชนา ในทางภาษีเงินได้นิติบุคคล มีประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการเลิกและการควบโอนกิจการดังนี้
1. การเลิกกิจการ เป็นไปตามมาตรา 72 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เลิกกิจการย่อมไม่เกี่ยวพันกับนิติบุคคลอื่น เว้นแต่ในกรณีเป็นผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน โดยมีข้อกำหนดเกี่ยวกับการเลิกกิจการ (1) ให้ผู้ชำระภาษีและผู้จัดการมีหน้าที่ร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก กรณีไม่ปฏิบัติตาม บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย (2) เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าวันที่เจ้าพนักงานรับจดทะเบียนเลิกเป็นวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ให้ผู้ชำระบัญชีและผู้จัดการมีหน้าที่และความรับผิดร่วมกันในการยื่นรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามแบบ ภ.ง.ด.50 ภายใน 150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี (3) ในกรณีกิจการร่วมค้าที่เลิกกันโดยไม่มีการชำระบัญชี ให้ผู้จัดการห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลมีหน้าที่และความรับผิดเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชี ร่วมกับผู้เป็นหุ้นส่วนซึ่งมีอำนาจจัดการตามที่กล่าวข้างต้น
2.กรณีควบหรือโอนกิจการ เป็นไปตามมาตรา 73 แห่งประมวลรัษฎากร แบ่งเป็น
กรณีที่ 1 การควบกิจการ
หมายถึง การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองกิจการขึ้นไป มาตกลงควบเข้ากัน โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ควบกิจการเข้าด้วยกันต้องเลิกกิจการไปทั้งหมด แล้วโอนกิจการให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่ เพื่อดำเนินกิจการต่อไป
(1) เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งควบเข้ากันนั้น ได้เลิกกัน และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันได้ควบเข้ากัน มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีแทนแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งให้ถือว่าเลิกกันนั้น
(2) กรณีบริษัทจำกัดควบกิจการ ให้กรรมการของบริษัทนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่ มีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชีในกรณีเลิกกิจการตามมาตรา 72 แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ มีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก มิฉะนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
กรณีที่ 2 การโอนกิจการ
หมายถึง การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตั้งแต่สองกิจการขึ้นไป มาตกลงควบโอนกิจการให้แก่กัน โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้โอนกิจการทั้งหมดต้องเลิกกิจการ ส่วนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้รับโอนกิจการยังคงดำเนินกิจการต่อไป
(1) เพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษี ให้ถือว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้โอนกิจการนั้นได้เลิกกัน และให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลอันได้รับโอนกิจการ มีหน้าที่และความรับผิดในการยื่นรายการและเสียภาษีแทนแต่ละบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้โอนกิจการนั้น
(2) กรณีบริษัทจำกัดโอนกิจการ ให้กรรมการของบริษัทที่รับโอน มีหน้าที่และความรับผิดชอบเช่นเดียวกับผู้ชำระบัญชีในกรณีเลิกกิจการตามมาตรา 72 แห่งประมวลรัษฎากร กล่าวคือ มีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมิน ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ท้องที่ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลผู้เลิกกิจการตั้งอยู่ ทราบการเลิกของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นภายใน 15 วัน นับแต่วันที่เจ้าพนักงานกรมพัฒนาธุรกิจการค้ารับจดทะเบียนเลิก มิฉะนั้นอาจต้องเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของจำนวนภาษีที่ต้องเสีย
ปุจฉา การโอนกิจการของผู้ประกอบการจดทะเบียน มีผลในทางภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างไร
วิสัชนา ในทางภาษีมูลค่าเพิ่ม มีประเด็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับการโอนกิจการไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนดังนี้
1. ผู้ประกอบการจดทะเบียนผู้โอนและผู้รับโอนกิจการ ต้องแจ้งการโอนต่อเจ้าพนักงานสรรพากร ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรพื้นที่สาขาท้องที่ที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนตั้งอยู่ให้ทราบล่วงหน้าเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วันก่อนวันโอนกิจการ ตามมาตรา 85/13 แห่งประมวลรัษฎากร
2. สินค้าที่มีอยู่ ณ วันโอนกิจการ ถือเป็นการขาย เว้นแต่กรณีโอนกิจการทั้งหมดตามมาตรา 77/1(8) แห่งประมวลรัษฎากร
การควบโอนกิจการ (2)
6 กันยายน 2549 07:11 น.
ไขปัญหาภาษีสัปดาห์นี้ขอนำประเด็นการควบโอนกิจการมาเป็นประเด็นปุจฉา - วิสัชนา ต่อจากสัปดาห์ก่อนดังนี้
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :
ปุจฉา การเลิกกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลเกี่ยวกับการตีราคาทรัพย์สินอย่างไร
วิสัชนา ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกิจการ ให้ตีราคาทรัพย์สินที่มีอยู่ ณ วันเลิกกิจการให้เป็นตามราคาตลาดในวันเลิกกิจการนั้น ก่อให้เกิดผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลดังนี้
1. กรณีทรัพย์สิน ณ วันเลิกกิจการมีราคาตลาดต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชี ก่อให้เกิดผลขาดทุนจากการตีราคาทรัพย์สิน ให้นำไปถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เลิกกิจการนั้น
2. กรณีทรัพย์สิน ณ วันเลิกกิจการมีราคาตลาดสูงกว่ามูลค่าตามบัญชี ก่อให้เกิดผลกำไรจากการตีราคาทรัพย์สิน ให้นำไปถือเป็นรายได้ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีที่เลิกกิจการนั้น เหตุผลที่กฎหมายกำหนดให้มีการดำเนินการดังเช่นที่กล่าวข้างต้น ก็เพื่อที่จะให้ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วนนั้นมีส่วนได้ส่วนเสีย (Equity) ในกิจการตามจำนวนที่ควรจะเป็นอย่างแท้จริง เพราะในท้ายที่สุดหลังจากที่ได้เลิกกิจการและมีการชำระบัญชีเสร็จสิ้นแล้ว กิจการต้องคืนทุนและจ่ายส่วนเกินทุน (ถ้ามี) ให้แก่ผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(4)(ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร
ปุจฉา การควบกิจการหรือการโอนกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล มีผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคลเกี่ยวกับการตีราคาทรัพย์สินต่อผู้โอนและผู้รับโอนทรัพย์สินอย่างไร
วิสัชนา ในกรณีที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเลิกกิจการ ให้ตีราคาทรัพย์สินที่มีอยู่ ณ วันเลิกกิจการให้เป็นตามราคาตลาดในวันเลิกกิจการนั้น ก่อให้เกิดผลในทางภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้
1. สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ต้องจดทะเบียนเลิกกิจการเพราะการควบกิจการหรือโอนกิจการ ให้ตีตามราคาตลาดในวันที่ควบเข้ากัน แต่ไม่ให้ถือว่าราคาดังกล่าวเป็นรายได้หรือรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมอันได้ควบกิจการหรือโอนกิจการนั้น ซึ่งมีเหตุผลในทางภาษีอากรและธุรกิจเช่นเดียวกับกรณีเลิกกิจการทั่วไป ที่จำเป็นต้องคำนวณหาส่วนได้ส่วนเสีย (Equity) ของผู้ถือหุ้นหรือผู้เป็นหุ้นส่วน ในอันที่จะเข้าร่วมในกิจการที่ได้ตั้งขึ้นใหม่จากการควบกิจการ หรือในกิจการที่ได้รับโอนกิจการ
2. สำหรับบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันเกิดแต่การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบกิจการเข้าด้วยกัน หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้รับโอนกิจการ
(1) ให้ถือราคาของทรัพย์สินนั้นตามราคาที่ปรากฏในบัญชีของบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมในวันที่ควบเข้ากันเพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ จนกว่าจะได้มีการจำหน่ายทรัพย์สินนั้นไป ทรัพย์สินรายการใดมีสิทธิหักค่าสึกหรอ และค่าเสื่อมราคาก็ให้หักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิตามหลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และอัตราที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมใช้อยู่เพียงเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่สำหรับทรัพย์สินนั้นเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากในทางกฎหมายให้ถือเสมือนบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้เลิกกิจการเพราะเหตุของการควบกิจการหรือโอนกิจการนั้นยังคงประกอบกิจการต่อเนื่องไป (Going Concern Assumption)
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติการในทางบัญชีให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลใหม่อันเกิดแต่การที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบกิจการเข้าด้วยกัน หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นผู้รับโอนกิจการ ผู้ซึ่งรับโอนทรัพย์สินยังคงบันทึกรายการทางบัญชีเกี่ยวกับทรัพย์สินที่รับโอนตามราคาตลาดที่ได้ตกลงรับโอนมา และคำนวณค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินตามราคาตลาดที่ได้ตกลงรับโอนกันนั้นในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิทางบัญชี แล้วทำการปรับปรุงรายการที่แตกต่างจากหลักเกณฑ์ทางภาษีอากรตามมาตรา 74(1)(ข) และ (ค) แห่งประมวลรัษฎากร เพื่อประโยชน์ในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลในแบบแสดงรายการ ภ.ง.ด.50 ต่อไป (ก) กรณีทรัพย์สินที่รับโอนมีราคาตลาดต่ำกว่าราคาทางบัญชี ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของมูลค่าต้นทุนในส่วนเกินกว่าราคาตลาดที่ได้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ต้องถูกปรับปรุงกลับมาเป็นรายได้ในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินนั้น (ข) กรณีทรัพย์สินที่รับโอนมีราคาตลาดสูงกว่าราคาทางบัญชี ค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาของมูลค่าต้นทุนในส่วนเกินกว่าราคาทางบัญชีที่ได้ปรับปรุงบวกกลับ โดยไม่ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิและขาดทุนสุทธิทางภาษีอากร ต้องถูกปรับปรุงกลับมาเป็นรายจ่ายหรือต้นทุนของทรัพย์สินในรอบระยะเวลาบัญชีที่ได้จำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินนั้น
(2) ห้ามมิให้นำผลขาดทุนสุทธิของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเดิมมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ
ตารางสรุปภาระภาษีการควบหรือโอนกิจการ
ภาระภาษี
|
ควบหรือโอนกิจการ
|
โอนกิจการบางส่วน
|
สถาบันการเงิน(ทั้งหมดหรือบางส่วน)
|
บริษัททั่วไป(ทั้งหมด)
|
โอนหุ้น
|
โอนทรัพย์สิน
|
1. 1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม
2. 1.1 ภาษีขาย
1.2 ภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคาร
|
ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตาม ม.77/1 (8) (ฉ)
ไม่เป็นภาษีต้องห้าม ตาม ปก. 84 แก้ไขเพิ่มเติม ปก.42 ข้อ 4 (ง)
|
ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตาม ม.77/1 (8) (ฉ)
ไม่เป็นภาษีต้องห้าม
|
|
เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
เป็นภาษีต้องห้าม ตาม ปก. 42 ข้อ 2 (4)
|
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ
|
ยกเว้น ตาม พรบ. ธ.พาณิชย์
|
ยกเว้น ตาม พรฏ. ฉบับที่ 10
|
ไม่เสีย
|
เสีย
|
3. อากรแสตมป์
|
ยกเว้น ตาม พรบ.ธ.พาณิชย์
|
ยกเว้น ตาม พรฏ. ฉบับที่ 10
|
เสียอากร 1 บาท ทุกจำนวน 1,000 บาท (ไม่รวมถึงการโอนหุ้นในตลาดฯ)
|
เสียอากร 1 บาท ทุกจำนวน 200 บาท
|
4. ค่าธรรมเนียมการโอนที่ดิน
|
เสียค่าธรรมเนียมการโอน ในอัตรา 2% ของราคาประเมิน (ลดเหลือ 0.1 % กรณีควบตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน)
|
เสียค่าธรรมเนียมการโอน ในอัตรา 2% ของราคาประเมิน
|
-
|
เสียค่าธรรมเนียมการโอน ในอัตรา 2% ของราคาประเมิน
|
5. ภาษีเงินได้ของผู้ถือหุ้น
5.1 บุคคลธรรมดา
- ในประเทศ
- ต่างประเทศ
5.2 นิติบุคคลในประเทศ
5.3 นิติบุคคลต่างประเทศ
|
ผลประโยชน์ที่ได้รับตาม ม.40(4)(ฉ)
ได้รับยกเว้นตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 207 (พ.ศ.2540)
ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ สำหรับมูลค่าทรัพย์สินที่ตีราคาเพิ่มขึ้น ตาม ม. 65 ทวิ (3) ตราบใดที่ยังถือหุ้นจำนวนเท่าเดิมและในราคาที่ตราไว้เดิม แต่ถ้าหุ้นเพิ่มมากขึ้น จะต้องถือเป็นรายได้เสียภาษี
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการควบเข้ากัน หรือ โอนกิจการ ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 341 พ.ศ. 2541
|
ยกเว้นให้แก่ผู้ถือหุ้นที่เป็นผลประโยชน์ที่ได้รับ ตาม ม. 40(4)(ฉ) ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 215 พ.ศ. 2541)
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการควบเข้ากัน หรือ โอนกิจการ ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 341 พ.ศ. 2541
ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการควบเข้ากัน หรือ โอนกิจการ ตามพระราชกฤษฎีกา ฉบับที่ 341 พ.ศ. 2541
|
|
|
6. ภาษีเงินได้ของบริษัท
|
1. บริษัทที่มาควบกัน ( ก+ข = ค) ต้องจดทะเบียนเลิกกิจการและต้องชำระบัญชีภายในรอบบัญชีที่มีการควบโอนกิจการ หากเป็นกรณีโอนบางส่วน ไม่ต้องจดทะเบียนเลิกกิจการ
2. การโอนทรัพย์สินให้บริษัทผู้รับโอน ไม่ถือเป็นรายได้ หรือรายจ่ายของบริษัทเดิม จนกว่าบริษัทใหม่จะขายทรัพย์สินนั้นไป
3. การคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน ให้บริษัทใหม่ถืออัตราเดิมและหักค่าเสื่อมราคาเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่
4. บริษัทผู้รับโอน ห้ามนำมาเป็นผลขาดทุน ของบริษัทผู้โอนมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร(ขาดทุน)ทางภาษี
|
1. บริษัทที่มาควบกัน ( ก+ข = ค) ต้องจดทะเบียนเลิกกิจการและต้องชำระบัญชีภายในรอบบัญชีที่มีการควบโอนกิจการ ตาม ม.74
2. การโอนทรัพย์สินให้บริษัทผู้รับโอน ไม่ถือเป็นรายได้ หรือรายจ่ายของบริษัทเดิม จนกว่าบริษัทใหม่จะขายทรัพย์สินนั้นไป
3. การคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สิน ให้บริษัทใหม่ถืออัตราเดิมและหักค่าเสื่อมราคาเท่าที่ระยะเวลาและมูลค่าต้นทุนที่เหลืออยู่
4. บริษัทผู้รับโอน ห้ามนำมาเป็นผลขาดทุน ของบริษัทผู้โอนมาเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไร(ขาดทุน)ทางภาษี
|
เงินได้จากการขายหุ้น ต้องเสียภาษีเงินได้
|
เงินได้จากการขายทรัพย์สิน ต้องเสียภาษีเงินได้
|